พระเจ้าผีผู้มีบาปในสมัยพุทธกาล
ร้านเอพีไอ หลังมอ
84000.org
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
สุปปติสูตรที่ ๗
[๔๓๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นสถาน
ที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตกรุงราชคฤห์ ฯ
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จจงกรมอยู่ในที่กลางแจ้งเกือบตลอดราตรีในสมัยใกล้รุ่งแห่งราตรี ทรงล้างพระบาทแล้วเสด็จเข้าพระวิหารทรงสำเร็จสีหไสยาโดยพระปรัศเบื้องขวา ทรงเหลื่อมพระบาทด้วยพระบาท ทรงมีพระ
สติสัมปชัญญะ ทรงทำความหมายในอันจะเสด็จลุกขึ้นไว้ในพระหฤทัย ฯ
[๔๓๕] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
"ท่านหลับหรือ ท่านจะหลับเสียทำไมนะ ท่านหลับเป็นตาย
เทียวหรือนี่ ท่านหลับโดยสำคัญว่า เราได้เรือนว่างเปล่า
กระนั้นหรือ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นโด่งแล้ว ท่านยังจะหลับ
อยู่หรือนี่ ฯ"
[๔๓๖] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป จึงได้
ตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า
"พระพุทธเจ้าซึ่งไม่มีตัณหาดุจข่าย ซึ่งแส่ไปในอารมณ์ต่างๆ
สำหรับจะนำไปสู่ภพไหนๆ ย่อมบรรทมหลับ เพราะความ
สิ้นรอบไปแห่งอุปธิทั้งปวง กงการอะไรของท่านในเรื่องนี้เล่า
มารเอ๋ย ฯ"
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป เป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา
พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง ฯ
พระเ้จ้าผีผู้มีบาปในสมัยพุทธกาล๒
ร้านเอพีไอ หลังมอ
84000.org
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
มารสังยุต
ปฐมวรรคที่ ๑
ตโปกรรมสูตรที่ ๑
[๔๑๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสรู้ใหม่ๆ ประทับอยู่ที่ต้นไม้อชปาล
นิโครธ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ณ ตำบลอุรุเวลา ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค
ทรงประทับพักผ่อนอยู่ในที่ลับ ได้เกิดความปริวิตกแห่งพระทัยอย่างนี้ว่า
"โอ เราเป็นผู้พ้นจากทุกกรกิริยานั้นแล้ว โอ สาธุ เราเป็นผู้พ้นแล้ว จากทุกกรกิริยาอันไม่ประกอบด้วยประโยชน์นั้น โอ สาธุ เราเป็นสัตว์ ที่บรรลุโพธิญาณแล้ว ฯ"
[๔๑๗] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปได้ทราบความปริวิตกแห่งพระทัยของ
พระผู้มีพระภาคด้วยจิต จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
"มาณพทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยการบำเพ็ญตบะใด ท่าน
หลีกจากตบะนั้นเสียแล้ว เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ มาสำคัญตนว่า
เป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านพลาดจากมรรคาแห่งความบริสุทธิ์เสีย
แล้ว ฯ"
[๔๑๘] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป จึงได้
ตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า
"เรารู้แล้วว่า ตบะอื่นๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ประกอบด้วย
ประโยชน์ ตบะทั้งหมดหาอำนวยประโยชน์ให้ไม่ ดุจไม้แจว
หรือไม้ถ่อ ไม่อำนวยประโยชน์บนบก ฉะนั้น (เรา) จึง
เจริญมรรค คือ ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อความตรัสรู้
เป็นผู้บรรลุความบริสุทธิ์อย่างยอดเยี่ยมแล้ว ดูกรมารผู้กระทำ
ซึ่งที่สุด ตัวท่านเป็นผู้ที่เรากำจัดเสียได้แล้ว ฯ"
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา
พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง ฯ
พระเจ้าผีผู้มีบาปในสมัยพุทธกาล๓
ร้านเอพีไอ หลังมอ
84000.org
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
มารสังยุต
ปฐมวรรคที่ ๑
นาคสูตรที่ ๒
[๔๑๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ประทับอยู่ที่ต้นไม้
อชปาลนิโครธ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ณ อุรุเวลาประเทศ ก็โดยสมัยนั้นแล
พระผู้มีพระภาคประทับนั่งในที่กลางแจ้ง ในราตรีอันมืดทึบ และฝนกำลังตก
ประปรายอยู่ ฯ
[๔๒๐] ครั้งนั้นแล มารผู้บาปใคร่จะให้เกิดความกลัว ความครั่นคร้าม
ขนลุกขนพองแด่พระผู้มีพระภาค จึงเนรมิตเพศเป็นพระยาช้างใหญ่ เข้าไปใกล้
พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ พระยาช้างนั้นมีศีรษะเหมือนกับก้อนหินใหญ่สีดำ
งาทั้งสองของมันเหมือนเงินบริสุทธิ์ งวงเหมือนงอนไถใหญ่ ฯ
[๔๒๑] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป ดังนี้
แล้วได้ตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า
"ท่านจำแลงเพศทั้งที่งามและไม่งาม ท่องเที่ยวอยู่ตลอดกาล
อันยืดยาวนาน มารผู้มีบาปเอ๋ย ไม่พอที่ท่านจะทำการจำแลง
เพศนั้นเลย ดูกรมารผู้กระทำซึ่งที่สุด ตัวท่านเป็นผู้ที่เรา
กำจัดเสียได้แล้ว ฯ"
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา
พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง ฯ
พระเจ้าผีผู้มีบาปในสมัยพุทธกาล๔
ร้านเอพีไอ หลังมอ
84000.org
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
มารสังยุต
ปฐมวรรคที่ ๑
สุภสูตรที่ ๓
[๔๒๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ประทับอยู่ที่ต้นไม้
อชปาลนิโครธ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ณ อุรุเวลาประเทศ ก็โดยสมัยนั้นแล
พระผู้มีพระภาคประทับนั่งในที่กลางแจ้งในราตรีอันมืดทึบ และฝนกำลังตก
ประปรายอยู่ ฯ
[๔๒๓] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปใคร่จะให้เกิดความกลัว ความครั่นคร้าม
ขนลุกขนพองแด่พระผู้มีพระภาค จึงเข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้ว
แสดงเพศต่างๆ หลากหลาย ทั้งที่งามทั้งที่ไม่งาม ในที่ไม่ไกลแต่พระผู้มีพระภาค ฯ
[๔๒๔] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป ดังนี้
จึงตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาทั้งหลายว่า
"ท่านจำแลงเพศทั้งที่งามทั้งที่ไม่งาม ท่องเที่ยวอยู่ตลอดกาล
อันยืดยาวนาน มารผู้มีบาปเอ๋ย ไม่พอที่ท่านจะทำการจำแลง
เพศนั้นเลย ดูกรมารผู้กระทำซึ่งที่สุด ตัวท่านเป็นผู้ที่เรากำจัด
เสียได้แล้ว ฯ
และชนเหล่าใดสำรวมดีแล้ว ด้วยกาย ด้วยวาจา และ
ด้วยใจ ชนเหล่านั้น ย่อมไม่เป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจของมาร
ชนเหล่านั้น ย่อมไม่เป็นผู้เดินตามหลัง ฯ"
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า พระผู้มีพระภาค ทรงรู้จักเรา
พระสุคตทรงรู้จักเรา จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง ฯ
พระเจ้าผีผู้บาปในสมัยพุทธกาล๕
ร้าน ตาต้า ตลาดท่าพระ
84000.org
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
มารสังยุต
ปฐมวรรคที่ ๑
ปฐมปาสสูตรที่ ๔
[๔๒๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตพระ
นครพาราณสี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ฯ
ภิกษุเหล่านั้นได้ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความหลุดพ้นอย่างยอด-
เยี่ยมเราบรรลุแล้ว ความหลุดพ้นอย่างยอดเยี่ยม เรากระทำให้แจ้งแล้ว เพราะ
การกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย เพราะการตั้งความเพียรไว้ชอบโดยแยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เธอทั้งหลายก็จงบรรลุซึ่งความหลุดพ้นอย่างยอดเยี่ยม
จงกระทำให้แจ้งซึ่งความหลุดพ้นอย่างยอดเยี่ยม เพราะการกระทำไว้ในใจโดย
แยบคายเพราะการตั้งความเพียรไว้ชอบโดยแยบคายเถิด ฯ
[๔๒๖] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
แล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
"ท่านเป็นผู้ที่ถูกเราผูกไว้แล้วด้วยบ่วงของมารทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์
ท่านเป็นผู้ที่ถูกเราผูกไว้แล้วด้วยเครื่องผูกของมาร ดูกรสมณะ ท่านจักไม่หลุดพ้นจาก
วิสัยของเราไปได้ ฯ"
[๔๒๗] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป จึงได้
ตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า
"เราเป็นผู้พ้นแล้วจากบ่วงของมาร ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ เราเป็นผู้พ้น
แล้วจากเครื่องผูกของมาร ดูกรมารผู้กระทำซึ่งความพินาศ ท่านเป็นผู้ที่เรากำจัดเสียได้แล้วฯ"
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา
พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง ฯ
พระเจ้าผีผู้มีบาปในสมัยพุทธกาล๖
ร้านเอพีไอ หลังมอ
84000.org
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
มารสังยุต
ปฐมวรรคที่ ๑
ทุติยปาสสูตรที่ ๕
[๔๒๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตพระ
นครพาราณสี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ฯ
ภิกษุเหล่านั้นได้ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง
ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เธอทั้งหลายก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวจาริกไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดา
และมนุษย์ทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่าได้ไปด้วยกัน ๒ รูป โดยทางเดียวกัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์
สิ้นเชิง สัตว์ทั้งหลายผู้มีธุลีในจักษุน้อยมีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อมรอบ
ผู้รู้ทั่วถึงซึ่งธรรมจักมี ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เราก็จักไปยังอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อ
แสดงธรรม ฯ
[๔๒๙] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
แล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
"ท่านเป็นผู้ที่ถูกเราผูกไว้แล้วด้วยบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ท่านเป็นผู้ที่ถูกเราผูกไว้แล้ว ด้วยเครื่อง พันธนาการอันใหญ่ ดูกรสมณะ ท่านจักไม่พ้นไปจากวิสัยของเราได้ ฯ"
[๔๓๐] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป
จึงได้ตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า
"เราเป็นผู้พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ เราเป็นผู้พ้นแล้วจากเครื่องพันธนาการอันใหญ่ ดูกรมารผู้กระทำซึ่งความพินาศ ท่านเป็นผู้ที่เรากำจัดเสียได้แล้ว ฯ"
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา
พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไป ณ ที่นั้นเอง ฯ
พระเจ้าผีผู้มีบาปในสมัยพุทธกาล๗
ร้านเอพีไอ หลังมอ
84000.org
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
มารสังยุต
ปฐมวรรคที่ ๑
สัปปสูตรที่ ๖
[๔๓๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันอันเป็นสถาน
ที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตกรุงราชคฤห์ ฯ
ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ประทับนั่งในที่กลางแจ้งในราตรี
อันมืดทึบ และฝนกำลังตกประปรายอยู่ ฯ
[๔๓๒] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปใคร่จะให้เกิดความกลัว ความครั่นคร้าม
ขนลุกขนพองแก่พระผู้มีพระภาค จึงนิรมิตเพศเป็นพระยางูใหญ่เข้าไปใกล้
พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ กายของพระยางูนั้นเป็นเหมือนเรือลำใหญ่ที่ขุดด้วยซุงทั้งต้น พังพานของมันเป็นเหมือนเสื่อลำแพนผืนใหญ่ สำหรับปูตากแป้งของช่างทำสุรา นัยน์ตาของมันเป็นเหมือนถาดสำริดใบใหญ่ของพระเจ้าโกศล ลิ้นของมันแลบออกจากปากเหมือนสายฟ้าแลบ ในขณะที่เมฆกำลังกระหึ่ม ฉะนั้น เสียงหายใจเข้าออกของมัน เหมือนเสียงสูบช่างทองที่กำลังพ่นลมอยู่ก็ปานกัน ฯ
[๔๓๓] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป ดังนี้
จึงได้ตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาทั้งหลายว่า
"มุนีเสพเรือนว่างเปล่าเพื่ออยู่อาศัย มุนีนั้นเป็นผู้มีตนอันสำรวมแล้ว เขาสละความอาลัยในอัตภาพนั้นเที่ยวไป เพราะการสละความอาลัยในอัตภาพแล้วเที่ยวไปนั้น เหมาะสมแก่ผู้เช่นนั้น ฯ
สัตว์ที่สัญจรไปมาก็มาก สิ่งที่น่ากลัวก็มาก อนึ่ง เหลือบและสัตว์เลื้อยคลานก็ชุกชุม (แต่) มหามุนีผู้อยู่ในเรือนว่างเปล่า ย่อมไม่ยังแม้แต่ขนให้ไหว ในเพราะสิ่งที่น่ากลัวเหล่านั้น ฯ
ถึงแม้ท้องฟ้าจะพึงแตก แผ่นดินจะพึงไหว สัตว์ทั้งหลายพึงสะดุ้งกลัวกันหมดก็ตามที แม้ถึงว่าหอกหรือหลาวจะจ่ออยู่ที่อกก็ตามเถิด พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ทรงทำการป้องกันในเพราะอุปธิ (คือขันธ์) ทั้งหลาย ฯ"
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป เป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา
พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง ฯ
พระเจ้าผีผู้มีบาปในสมัยพุทธกาล๘
ร้านบานาน่าสอง หลังมอ
84000.org
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
มารสังยุต
ปฐมวรรคที่ ๑
นันทนสูตรที่ ๘
[๔๓๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ฯ
[๔๓๘] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
แล้วได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
"คนมีบุตร ย่อมเพลิดเพลินเพราะบุตร คนมีโคก็ย่อมเพลิดเพลินเพราะโค ฉันนั้นเหมือนกัน อุปธิทั้งหลายนั่นแลเป็นเครื่องเพลิดเพลินของนรชน เพราะคนที่ไม่มีอุปธิหาเพลิดเพลินไม่ ฯ"
[๔๓๙] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป จึงได้
ตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า
"คนมีบุตร ย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร คนมีโคก็ย่อมเศร้าโศกเพราะโค ฉันนั้นเหมือนกัน อุปธิทั้งหลายนั่นแล เป็นเหตุเศร้าโศกของนรชน เพราะคนที่ไม่มีอุปธิหาเศร้าโศกไม่ ฯ"
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป เป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา
พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง ฯ
พระเจ้าผีผู้มีบาปในสมัยพุทธกาล๙
ร้านเอพีไอ หลังมอ
84000.org
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
มารสังยุต
ปฐมวรรคที่ ๑
ปฐมอายุสูตรที่ ๙
[๔๔๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นสถาน
ที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตกรุงราชคฤห์ ฯ
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายดังนี้ ฯ
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายุของมนุษย์ทั้งหลายนี้น้อยนัก จำต้องไปสู่สัมปรายภพ ควรทำกุศล ควรประพฤติพรหมจรรย์ สัตว์ผู้เกิดมาแล้วจะไม่ตายไม่มี ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนที่เป็นอยู่นาน ย่อมเป็นอยู่ได้เพียงร้อยปี หรือจะอยู่เกินไปได้บ้าง ก็มีน้อย ฯ"
[๔๔๑] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
"อายุของมนุษย์ทั้งหลายยืนยาว คนดีไม่ควรดูหมิ่นอายุนั้นเลยควรประพฤติดุจเด็กอ่อนที่มุ่งแต่จะกินนม ฉะนั้น การมาแห่งมัจจุไม่มี ฯ"
[๔๔๒] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป จึงได้ตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า
"อายุของมนุษย์ทั้งหลายน้อย คนดีควรดูหมิ่นอายุนั้นเสีย ควรประพฤติดุจคนที่ถูกไฟไหม้ศีรษะ ฉะนั้นการที่จะไม่มาแห่งมัจจุไม่มีเลย ฯ"
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป เป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นแล ฯ
พระเจ้าผีผู้มีบาปในสมัยพุทธกาล๑๐
ร้านเอพีไอ หลังมอ
84000.org
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
มารสังยุต
ปฐมวรรคที่ ๑
ทุติยอายุสูตรที่ ๑๐
[๔๔๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตกรุงราชคฤห์ ฯ
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสข้อนี้ว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายุของมนุษย์ทั้งหลายนี้น้อยนัก จำต้องไปสู่สัมปรายภพ ควรทำกุศล ควรประพฤติพรหมจรรย์ สัตว์ผู้เกิดแล้วจะไม่ตายไม่มีเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนที่เป็นอยู่นานย่อมเป็นอยู่ได้เพียงร้อยปี หรือจะเกินขึ้นไปก็น้อย ดังนี้ ฯ"
[๔๔๔] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
"วันคืนย่อมไม่ผ่านพ้นไป ชีวิตย่อมไม่รุกร้นไป อายุย่อมจรตามสัตว์ทั้งหลายไป ดุจกงจรตามธูปรถไป ฉะนั้น ดังนี้ ฯ"
[๔๔๕] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป จึงได้ตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า
"วันคืนย่อมผ่านพ้นไป ชีวิตย่อมรุกร้นไป อายุของสัตว์ทั้งหลายย่อมสิ้นเปลืองไป ดุจน้ำแห่งแม่น้ำน้อย ฉะนั้น ดังนี้ ฯ"
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป เป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จัก
เรา พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นแล ฯ
จบ วรรคที่ ๑
-----------------------------------------------------
รวมพระสูตรในปฐมวรรคนี้มี ๑๐ สูตร คือ
ตโปกรรมสูตรที่ ๑ นาคสูตรที่ ๒ สุภสูตรที่ ๓ ปาสสูตรมี ๒ สูตรเป็น
ที่ ๔ และที่ ๕ สัปปสูตรที่ ๖ สุปปติสูตรที่ ๗ นันทนสูตรที่ ๘ อายุสูตรอีก ๒
สูตรเป็นที่ ๙ และที่ ๑๐
-----------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น