วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎี"อัลลอฮฺพระเจ้าผีอนุญาตให้กินหมู" หลักฐานชัด


ผมขอเสนอทฤษฎี”อัลลอฮฺพระเจ้าผีอนุญาตให้กินหมู” อัลลอฮฺพระเจ้าผีอนุญาตให้กินหมูทั้งที่ถูกเชือดในนามของอัลลอฮฺ หรือในนามอื่น หลักฐานดังนี้

บางส่วนในกุรอาน
3 Forbidden to you (for food) are: Al-Maitah (the dead animals-cattle-beast not slaughtered), blood, the flesh of swine, and that on which Allah’s Name has not been mentioned while slaughtering, (that which has been slaughtered as a sacrifice for others than Allah, or has been slaughtered for idols) and that which has been killed by strangling, or by a violent blow, or by a headlong fall, or by the goring of horns- and that which has been (partly) eaten by a wild animal-unless you are able to slaughter it (before its death)- and that which is sacrificed (slaughtered) on An-Nusub (stone-altars). (Forbidden) also is to use arrows seeking luck or decision; (all) that is Fisqun (disobedience of Allah and sin). This day, those who disbelieved have given up all hope of your religion; so fear them not, but fear Me. This day, I have perfected your religion for you, completed My Favour upon you, and have chosen for you Islam as your religion. But as for him who is forced by severe hunger, with no inclination to sin (such can eat these above mentioned meats), then surely, Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful. (Surah5. Al-Ma’idah, Part6)
3 ได้ถูกห้ามแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งสัตว์ที่ตายเอง (นอกจากสัตว์น้ำ)และเลือด (เลือดที่ไหลออกขณะเชือด ส่วนที่ติดอยู่ในเนื้อนั้นไม่เป็นที่ต้องห้าม)และเนื้อสุกร (ทุกส่วนในตัวของมันด้วย) และสัตว์ที่ถูกเปล่งนามอื่นจากอัลลอฮฺที่มัน (ขณะเชือด) และสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย (ที่ถูกหนีบคอและบีบคอตาย) และสัตว์ที่ถูกตีตาย (ที่ถูกทุบตายและขว้างให้ตายด้วย) และสัตว์ที่ตกเหวตาย (ที่ตกบ่อตาย หรือจมน้ำตายด้วย) และสัตว์ที่ถูกขวิดตาย (สัตว์ที่ถูกชนตายด้วยจะถูกชนด้วยรถยนต์หรือรถไฟก็ตาม) และสัตว์ที่สัตว์ร้ายกัดกิน นอกจากที่พวกเจ้าเชือดกัน (มันยังมีชีวิตอยู่ในขณะที่เชือด) และสัตว์ที่ถูกเชือดบนแท่นหินบูชา (แท่นบูชานี้มุชริกมักกะฮฺได้จัดวางไว้รอบกะอฺบะฮฺ เพื่อเป็นที่เชือดสัตว์บูชาแก่เจว็ดของพวกเขา) และการที่พวกเจ้าเสี่ยงทายด้วยไม้ติ้ว (ดุ้นไม้ที่เหลาคล้ายลูกธนูรวมสามดุ้นด้วยกัน ดุ้นหนึ่งเขียนไว้ว่า พระเจ้าใช้ฉัน อีกดุ้นหนึ่งเขียนว่าพระเจ้าห้ามฉัน และอีกดุ้นหนึ่งมิได้เขียนอะไรไว้ ถ้าพวกเขาต้องการจะทำสิ่งใด ก็จะทำการเสี่ยงทายด้วยติ้วดังกล่าว ถ้าจับได้ติ้วที่มิได้มีข้อเขียนใดๆ ก็จะจับใหม่ จนกว่าจะได้ติ้วที่แนะนำให้ทำหรือมิให้ทำอย่างไรก็ดี เครื่องเสี่ยงทายนั้นมีประเภทอื่นๆอีก ซึ่งก็อยู่ภายใต้ข้อห้ามนี้ทั้งหมด) เหล่านั้นเป็นการละเมิด วันนี้ (วันอะเราะฟะฮฺ ของอัจญะตุลวะตาอฺ ในปีที่ 10 ฮิจญเราะฮฺ) บรรดาผู้ปฏิเสธการศรัทธา (มุชริกชาวมักกะฮฺ) หมดหวังในศาสนาของพวกเจ้าแล้ว (หมดหวังที่จะให้สาวกของท่านนะบีมุฮัมมัดกลับเป็นมุชริกดังเดิม) ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ากลัวพวกเขา และจงกลัวข้าเถิด วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้วซึ่งศาสนาของพวกเจ้าและข้าได้ให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งความกรุณาเมตตาของข้า (ให้ท่านนะบีได้เข้ายึดครองมักกะฮฺไว้ได้โดยมิได้เสียเลือดเนื้อ) และข้าได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้าแล้ว ผู้ใดได้รับความคับขันในความหิวโหย (จำเป็นจะต้องใช้อาหารประเภทต้องห้ามดังกล่าวบริโภคเพื่อประทังชีวิตแล้วก็อนุญาตให้บริโภคได้โดยไม่มีบาปใดๆ) โดยมิใช่เป็นผู้จงใจกระทำบาปแล้วไซร้ (มิใช่ผู้สร้างสถานะการณ์ให้คับขัน โดยมีเจตนาจะบริโภคอาหารที่เป็นที่ต้องห้ามเหล่านั้น) แน่นอนอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเมตตาเสมอ. (ซูเราะฮฺที5, อัล-มาอิดะฮฺ, ญุซอที่6).

ยามอิสลามจะอดตาย กฎทุกกฎย่อมได้รับการยกเว้น นะบีมูฮัมมัดเป็นพยานทฤษฎี”อัลลอฮฺพระเจ้าผีอนุญาตให้กินหมู

คำถามคือ
1.ในยามเหนื่อยยากคับขัน เราสามารถปฏิเสธกุรอานได้หรือไม่

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎี"พระเจ้าผีสอนให้สู้คน" หลักฐานชัด


ผมขอเสนอทฤษฎี”พระเจ้าผีสอนให้สู้คน” พระเจ้าผีทรงต้องการให้เราใช้ชีวิตแบบจิ๊กโก๋ที่ไม่ต้องเกรงกลัวมนุษย์หน้าไหน นอกจากพระเจ้าผี หลักฐานดังนี้

บางส่วนในไบเบี้ย
25 There shall no man be able to stand before you: for the LORD your God shall lay the fear of you and the dread of you upon all the land that ye shall tread upon, as he hath said unto you. (Deuteronomy 11:25)
25 จะไม่มีใครสามารถยืนหยัดต่อสู้พวกท่านได้ พระยาห์เวห์พระเจ้าผีของท่านจะทรงทำให้พวกท่านเป็นที่เกรงขามและตกใจกลัวของแผ่นดินที่ท่านจะเหยียบย่ำไปตามที่ทรงสัญญาไว้กับท่าน (เฉลยธรรมบัญญัติ 11:25)

22 When a prophet speaketh in the name of the LORD, if the thing follow not, nor come to pass, that is the thing which the LORD hath not spoken, but the prophet hath spoken it presumptuously: thou shalt not be afraid of him. (Deuteronomy 18:22)
22 เมื่อผู้เผยพระวจนะกล่าวคำในพระนามของพระยาห์เวห์ ถ้าไ่ม่เป็นจริงตามถ้อยคำนั้นและสิ่งนั้นไม่เกิดขึ้น ถ้อยคำนั้นไม่ได้เป็นพระวจนะที่พระยาเวห์ตรัสผู้เผยพระวจนะนั้นบังอาจกล่าวเอง อย่าเกรงกลัวเขาเลย (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:22)

แม้แต่โปรเฝทผู้เผยพระวจนะก็ไม่ต้องไปเกรงกลัว ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริงดั่งพระวจนะแสดงว่าโปรเฝทหลอกลวง นี้สนับสนุนว่า”พระเจ้าผีสอนให้สู้คน

คำถามคือ
1.ทำไมต้องเชื่อพระเจ้าผีด้วยครับ

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎี"พระเจ้าผีสอนให้ความจำสั้น" หลักฐานชัด


ผมขอเสนอทฤษฎี”พระเจ้าผีสอนให้ความจำสั้น” พระเจ้าผีทรงต้องการให้ชีวิตของเราดำเนินไป พร้อมๆ กับความจำสั้น นี้เป็นการกระตุ้นให้สมองขาดการบริหารใช่หรือไม่

บางส่วนในไบเบี้ย
18 Remember ye not the former things, neither consider the things of old. (Isaiah43:18)
18 พระองค์ตรัสดังนี้ว่า "อย่าจดจำสิ่งที่ล่วงเลยมาแล้วนั้น อย่าพิเคราะห์เรื่องในอดีต (อิสยาห์ 43:18)

นับเป็นวิธีการเรียนรู้ที่แปลก แล้วมันจะให้สิ่งที่ดีที่สุดในการเรียนรู้อย่างไร ด้วยการทำสมองของเราให้ใกล้ชิดสนิทสนมกับภาวะสมองเสื่อม เยซูพระเจ้าผีท่านต้องการอะไร

คำถามคือ
1.เยซูต้องการล้างสมอง มนุษย์ใช่หรือไม่

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎี"อัลลอฮฺบังคับเฉพาะชาวอาหรับให้อ่านกุรอานเป็นภาษาอาหรับ" หลักฐานชัด


ผมขอเสนอทฤษฎี”อัลลอฮฺบังคับเฉพาะชาวอาหรับให้อ่านกุรอานเป็นภาษาอาหรับ” พระเจ้าผีทรงเลือกมูฮัมมัดเป็นรอซูลเพราะฉะนั้นเพื่อความศรัทธาแล้ว จำเป็นต้องใช้ภาษาเดียวกันกับมูฮัมมัดในการเผยแพร่พระวจนะ ดังหลักฐานแสดงดังนี้

บางส่วนในกุรอาน
198 And if We had revealed it (this Qur’an) unto any of the non-Arabs, (Surah26, Ash-shu’ara Part19)
198 และหากว่าเราประทานมันลงมาแก่บางคนในหมู่ชาวต่างชาติ (ที่ไม่สามารถพูดภาษาอาหรับได้) (ซูเราะฮฺที่26, อัชชุอะรออฺ ญุซอฺที่19)

199 And he had recited it unto them, they would not have believed in it. (Surah26, Ash-shu’ara Part19)
199 แล้วเขาอ่านมันแก่พวกเขา (คือชาวต่างชาติผู้นั้นได้อ่านมันแก่พวกกุฟฟารมักกะฮฺ) พวกเขาก็จะไม่เป็นผู้ศรัทธาต่อมัน

นี่แสดงชัดแจ้งว่า ถ้าผู้ศรัทธาเป็นชนชาติอื่น ที่ไม่ใช่อาหรับก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลา เรียนภาษาอาหรับหรอก เพราะกุรอ่าน สามารถทอดถ่ายผ่านรอซูลชนชาติอื่นได้ชัดแจ้งเช่นกัน อย่าลืมว่า มูฮัมมัดอ่านหนังสือไม่ออก
ประเด็นอยู่ที่ว่า กุรอ่านถ่ายทอดเป็นภาษาอื่นแล้วเข้าใจตรงกันกับคนอาหรับก็เป็นอันใช้ได้ เช่นไม่กินหมูเหมือนกัน เป็นต้น

คำถามคือ
1.กุรอานเป็นภาษาอาหรับ เท่านั้นหรือ ที่ถูกต้อง

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎี"อัลลอฮฺอนุญาติกุรอ่านในภาษาอื่นนอกจากอาหรับ" หลักฐานชัด


ผมขอเสนอทฤษฎี”อัลลอฮฺอนุญาติกุรอ่านในภาษาอื่นๆนอกจากอาหรับ” พระเจ้าผีทรงเลือกมูซาเป็นรอซูลภาคภาษาเฮบรูดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเลือกมูฮัมมัดเป็นรอซูลภาคภาษาอาหรับด้วย แต่ก็ทรงกล่าวชัดแจ้งว่าผู้มีความรู้ย่อมมีอยู่ในหลากหลายภาษา ไม่ได้จำกัดแต่อาหรับเท่านั้น ดังหลักฐานที่นำมาเสนอ

บางส่วนในกุรอาน
22 And among His Signs is the creation of the heavens and the earth, and the difference of your languages and colours. Verily, in that are indeed signs for men of sound knowledge. (Surah30.Ar-Rum, Part21).
22 และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์คือ การสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และการแตกต่างของภาษาของพวกเจ้าและผิวพรรณของพวกเจ้า แท้จริงในการนี้ แน่นอน ย่อมเป็นสัญญาณสำหรับบรรดาผู้มีความรู้ (ซูเราะฮฺที30, อัรรูม ญุซอฺที่21)

พระเจ้าผีทรงสร้างความแตกต่างทางภาษา แล้วทำไมต้องจำกัดกุรอานเป็นภาษาอาหรับด้วยเล่า

คำถามคือ
1.การอ่านกุรอานด้วยภาษาอื่น นอกจากภาษาอาหรับ ก็เข้าใจได้ชัดแจ้งใช่หรือไม่

วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎี"อิสลามปฏิเสธการเปิดเผยความงาม" หลักฐานชัด


ผมขอเสนอทฤษฎี”อิสลามปฏิเสธการเปิดเผยความงาม” มูซาและมูฮัมมัด เป็นพยานได้ในเรื่องนี้ได้หลักฐานดังนี้

บางส่วนในกรุอาน
59 O Prophet! Tell your wives and your daughters and the women of the believers to draw their cloaks (veils) all over their bodies (i.e. screen themselves completely except the eyes or one eye to see the way). That will be better, that they should be known (as free respectable women) so as not to be annoyed. And Allah is Ever Oft-Forgiving, Most Merciful. (Surah33. Al-Ahzab Part22)
59โอ้นะบีเอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกเขาดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง (ให้พวกนางเหล่านั้นสวมเสื้อหลวมๆ ซึ่งจะช่วยปกปิดความสวยงามและเครื่องประดับของพวกนางเพื่อป้องกันการกล่าวร้ายแก่นาง และแยกให้แตกต่างลักษณะของพวกผู้หญิงญาฮิลียะฮฺ อัฏฏ็อบรีย์ นั้นคือเปิดช่องสำหรับนัยน์ตาอย่างเดียว) นั่นเป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน (ป้องกันพวกนางให้พ้นจากคำพูดของพวกเลวทราม และเป็นการแยกพวกนางให้แตกต่างจากพวกทาสี) และอัลลอฮฺทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ (ซูเราะฮฺที่33 อัลอะหฺซาบ ญุซอฺที่22)

33 And stay in your houses, and do not display yourselves like that of the times of ignorance, and perform As-Salat (Iqamat-as-Salat), and give Zakat and obey Allah and His Messenger. Allah wishes only to remove Ar-Rijs (evil deeds and sins) from you, O members of the family (of the Prophet), and to purify you with a thorough purification. (Surah33. Al-Ahzab, Part22)
33 และจงอยู่ในบ้านเรือนของพวกเธอ และอย่าได้โอ้อวดความงาม (ของพวกเธอ) เช่นการอวดความงาม (ของพวกสตรี) แห่งสมัยงมงายในยุคก่อน (โดยที่สตรีในยุคญาฮิลียะฮฺได้ออกไปนอกบ้านเพื่ออวดความงามของพวกเธอ เปิดเผยส่วนที่ไม่สมควรจะเปิดเผย) และจงดำรงการละหมาด และจ่ายซะกาต และจงภักดีต่ออัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ อัลลอฮฺเพียงแต่ต้องการที่จะขจัดความโสโครกออกไปจากพวกเจ้า (การฝ่าฝืนและความผิดต่าง) โอ้สมาชิกของวงศ์ตระกูล (นะบี) เอ๋ย และทรงประสงค์ที่จะขัดเกลาพวกเจ้าให้สะอาดบริสุทธิ์. (ซูเราะฮฺที่33, อัลอะหฺซาบ, ญุซอฺที่22)

อิสลามไม่ยินยอมให้ผู้หญิงเปิดเผยความงาม และผู้ที่ยุยงให้เปิดเผยความงามนั้นคือ ชัยฎอนนั่นเอง ตามหลักฐานที่ยกมาท่านใดจะแย้งเชิญเสนอหลักฐานที่มีที่มาที่ไป

คำถามคือ
1.ชัยฎอนเป็นผู้หญิงได้ ใช่หรือไหม.


วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎี"นอนกับโสเภณีได้ถ้าจ่ายสินตอบแทนและไม่ทิ้งนาง" หลักฐานชัด


ผมขอเสนอทฤษฎี”นอนกับโสเภณีได้ถ้าจ่ายสินตอบแทน(มะฮัรฺ)และไม่ทิ้งนาง”ซึ่งมูฮัมมัดได้ยินกับหูตนเอง
ตามหลักฐานในกุรอานดังนี้

บางส่วนในกุรอาน
24Also (forbidden are) women already married, except those (slaves) whom your right hands possess. Thus has Allah ordained for you. All others are lawful, provided you seek (them in marriage) with Mahr (bridal money given by the husband to his wife at the time of marriage) from your property, desiring chastity, not committing illegal sexual intercourse, so with those of whom you have enjoyed sexual relations, give them their Mahr as prescribed; but if after a Mahr is prescribed, you agree mutually (to give more), there is no sin on you. Surely, Allah is Ever All-Knowing, All-Wise. (Surah4. An-Nisa’ Part5)
24และบรรดาหญิงที่อยู่ในปกครองของสามี(หญิงที่ถูกห้ามมิให้แต่งงานด้วยเช่นย่ายายแม่ป้าน้าเป็นต้น) นอกจากที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง(หญิงทีมีสามีแต่ตกเป็นเชลยศึกในฐานะทาสสมสู่ได้) เป็นบัญญัติของอัลลอฮฺที่มีแก่พวกเจ้า และได้ถูกอนุมัติให้แก่พวกเจ้าที่นอกเหนือจากนั้น(นอกเหนือจากที่ห้าม) ในการที่พวกเจ้าจะแสวงหามาด้วยทรัพย์ของพวกเจ้า (ด้วยการจ่ายสินตอบแทน(มะฮัรฺ)ให้แก่นาง) ในฐานะเป็นผู้แต่งงาน (โดยเจตนาครอบครองนาง) มิใช่ในฐานะผู้ล่วงประเวณี ดังนั้นหญิงใดที่พวกเจ้าเสพสุขด้วยนางจากบรรดาหญิงเหล่านั้น (หญิงที่อนุมัติให้แต่งงานกับนางได้) ก็จงให้แก่พวกนาง ซึ่งสินตอบแทนแก่พวกนาง (มะฮัรฺแก่พวกนาง) ตามที่มีกำหนดไว้ และไม่เป็นบาปใดๆ แก่พวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าต่างยินยอมกันในสิ่งนั้น (ยินยอมที่จะลดหรือเพิ่มมะฮัรฺ) หลังจากที่มีกำหนดนั้นขึ้น แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ผู้ทรงปรีชาญาณ.

อิสลามยินยอมว่าการกำหนดค่าตัวและครอบครองนางเป็นสิ่งที่ดี เป็นมงคลไม่บาป ดังทฤษฎี”นอนกับโสเภณีได้ถ้าจ่ายสินตอบแทนและไม่ทิ้งนาง ตามหลักฐานที่ยกมาท่านใดจะแย้งเชิญเสนอหลักฐานที่มีที่มาที่ไป

คำถามคือ
1.อิสลามสอนให้บ้ากาม ใช่หรือไม่

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎี"นางมารีย์ (ซาร่า) ชาวแมกดาลีนเป็นคนบาป" หลักฐานชัด


ผมขอเสนอทฤษฎี”นางมารีย์ (ซาร่า) ชาวแมกดาลีนเป็นคนบาป” จากหลักฐานในไบเบี้ยพิสูจน์ได้ชัดว่า นางมารีย์ชาวแมกดาลีน เป็นคนบาปเพราะประกอบอาชีพโสเภณีหว่านเสน่ห์ไปทั่ว จนมาพบรักแท้กับเยซู

บางส่วนในไบเบี้ย
36 And one of the Pharisees desired him that he would eat with him. And he went into the Pharisee's house, and sat down to meat. (Luke7:36)
36 มีคนหนึ่งในพวกฟาริสีเชิญพระองค์ไปรับประทานอาหารกับเขาพระองค์ก็เสด็จเข้าไปในบ้านของฟาริสีคนนั้น แล้วเอนพระกายที่โต๊ะอาหาร (ลูกา7:36)

37 And, behold, a woman in the city, which was a sinner, when she knew that Jesus sat at meat in the Pharisee's house, brought an alabaster box of ointment, (Luke7:37)
37 นี่แน่ะ มีหญิงคนหนึ่งในเมืองนั้นซึ่งเป็นคนบาป เมื่อรู้ว่าพระองค์กำลังเสวยอาหารอยู่ในบ้านของฟาริสีคนนั้น นางจึงนำผอบน้ำมันหอมมา (ลูกา7:37)

38 And stood at his feet behind him weeping, and began to wash his feet with tears, and did wipe them with the hairs of her head, and kissed his feet, and anointed them with the ointment. (Luke7:38)
38 ยืนอยู่ข้างหลังใกล้พระบาทของพระองค์ แล้วร้องไห้น้ำตานองเปียกพระบาท นางจึงใช้ผมเช็ดจูบพระบาทของพระองค์แล้วเอาน้ำมันชโลม (ลูกา7:38)

39 Now when the Pharisee which had bidden him saw it, he spake within himself, saying, This man, if he were a prophet, would have known who and what manner of woman this is that toucheth him: for she is a sinner. (Luke7:39)
39 ฟาริสีคนที่เชิญพระองค์มาเมื่อเห็นแล้วก็นึกในใจว่า "ถ้าท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะ ก็น่าจะรู้ว่าผู้หญิงที่แตะต้องตัวของท่านเป็นใครและเป็นคนอย่างไร เพราะนางเป็นคนบาป(ลูกา7:39)

จากหลักฐานที่ยกมา แม้แต่นักบุญมารีย์ชาวแมกดาลีนาหรือเซนต์ ซาร่าก็เป็นคนบาปมาก่อนจะกลายมาเป็นผู้เผยแพร่ลัทธิเยซูนั้นคือ จากนักบาปสู่นักบุญตามความเชื่อของคริสต์ ตามหลักฐานที่ยกมาท่านใดจะแย้งเชิญเสนอหลักฐานที่มีที่มาที่ไป


คำถามคือ
1.โสเภณีเป็นอาชีพที่บาป ใช่หรือไม่

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎี"นะบีอีซาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของตรีเอกานุภาพ" หลักฐานชัด


ผมขอเสนอทฤษฎี”นะบีอีซาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของตรีเอกานุภาพ” จากหลักฐานในไบเบี้ยพิสูจน์ได้ชัดว่า นะบีอีซา (เยซู)ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตรีเอกานุภาพ (Trinity) แต่เป็นเพียงผู้เผยคำพูดของพระเจ้าผี เหมือนมูฮัมมัดเท่านั้น

บางส่วนในไบเบี้ย

45 And when the chief priests and Pharisees had heard his parables, they perceived that he spake of them. (Matthew 21:45)
45 เมื่อพวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกฟาริสีได้ยินอุปมาเหล่านั้น ก็หยั่งรู้่ว่าพระองค์ตรัสเล็งถึงพวกเขา (มัทธิว 21:45)

46 But when they sought to lay hands on him, they feared the multitude, because they took him for a prophet. (Matthew 21:46)
46 เขาอยากจะจับพระองค์ แต่กลัวฝูงชน เพราะเขาทั้งหลายถือว่าพระองค์เป็นผู้เผยพระวจนะ (มัทธิว 21:46)

นี้พิสูจน์ว่า ทฤษฎี”นะบีอีซาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของตรีเอกานุภาพ” เป็นจริงเพราะเมื่อขณะเยซูมีชีวิตอยู่นั้นไม่มีใครเชื่อว่าเขาเป็นพระเจ้าผีหรือบุตรพระเจ้าผีหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของตรีเอกานุภาพเลย แม้แต่พระฟาริสียังปฏิเสธ เพราะฉะนั้นเยซูหรือนะบีอีซาจึงเป็นเพียงผู้ส่งสารจากพระเจ้าผีเท่านั้น นี้เพียงพอแก่ข้อกล่าวหาว่า พวกคริสต์ บิดเบือนไบเบี้ยได้อีกด้วย

คำถามคือ
1.ทำไมพวกคริสต์ถึงยกย่องนะบีอีซามากกว่านะบีมูฮัมมัด ทั้งๆทีทั้งคู่ก็เป็นผู้เผยพระวจนะเหมือนกัน (สองมาตรฐานหรือเปล่า)

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎี"พระเจ้าผีทำให้ทะเลแดงแห้งไม่ใช่โมเสส" หลักฐานชัด


ผมขอเสนอทฤษฎี”พระเจ้าผีทำให้ทะเลแดงแห้ง” จากหลักฐานในไบเบี้ยพิสูจน์ได้ชัดว่าโมเสสไม่ได้มีส่วนใดๆเลยนอกจาก ยื่นมืออันชราภาพเหี่ยวแห้งออกผึ่งลมริมชายหาดทะเลแดงเท่านั้น หลักฐานดังนี้

บางส่วนในไบเบี้ย
21 And Moses stretched out his hand over the sea; and the LORD caused the sea to go back by a strong east wind all that night, and made the sea dry land, and the waters were divided. (Exodus 14:21)
21 โมเสสยื่นมือออกเหนือทะเลและพระยาห์เวห์ก็ทรงบันดาลให้ลมตะวันออกพัดโหมไล่น้ำทะเลตลอดคืน ทำให้ทะเลกลายเป็นดินแห้งและน้ำแยกออกจากกัน (อพยพ 14:21)

22 And the children of Israel went into the midst of the sea upon the dry ground: and the waters were a wall unto them on their right hand, and on their left. (Exodus 14:22)
22 ชนชาติอิสราเอลก็เดินผ่านกลางทะเลบนดินแห้งส่วนน้ำนั้นตั้งเป็นเหมือนกำแพงสำหรับพวกเขาทั้งทางขวาและทางซ้าย (อพยพ 14:22)

23 For the LORD your God dried up the waters of Jordan from before you, until ye were passed over, as the LORD your God did to the Red sea, which he dried up from before us, until we were gone over: (Josh 4:23)
23 เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าผีของพวกท่านทรงทำให้แม่น้ำจอร์แดนแห้งไปต่อหน้าท่านจนท่านข้ามไปได้หมด ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าผีของท่านทรงทำต่อทะเลแดง ทรงทำให้แห้งเพื่อพวกเราจนเราข้ามไปหมด (โยชูวา 4:23)

หลังจากการหนีหัวซุกหัวซุนจากกองทัพฟาโรห์จากอียิปต์ จนมาถึงทะเลแดงอันกว้างใหญ่ที่ขวางการหนีอย่างสุดชีวิต พระเจ้าผีก็ได้แหวกทะเลแดงออกเป็นกำแพงให้โมเสสและคณะหนีต่อไปได้

คำถามคือ
1.จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่า สิ่งที่พระเจ้าผีทำนั้นคือเรื่องจริง

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎี"พระเจ้าผีแขนกุดใช้คำพูดสร้างสรรพสิ่ง" หลักฐานชัด


ผมขอเสนอทฤษฎี”พระเจ้าผีแขนกุดใช้คำพูดสร้างสรรพสิ่ง” เฉกเช่นศิลปินไร้แขนแต่ใช้ปากวาดภาพได้ โดยที่พระเจ้าผีแอบอ้างว่า สร้างโลก สร้างมนุษย์ด้วยคำพูด หลักฐานดั่งนี้

บางส่วนในไบเบี้ย
1 In the beginning was the Word, and the Word was with God, and the Word was God. (John1:1)
1 ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้าผี และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้าผี (ยอห์น1:1)

2 The same was in the beginning with God. (John1:1)
2 ในปฐมกาลพระองค์ทรงอยู่กับพระเจ้าผี. (ยอห์น1:1)

3 All things were made by him; and without him was not any thing made that was made. (John1:3)
3 พระเจ้าผีทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นอยู่นั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่เป็นอยู่นอกเหนือพระวาทะ (ยอห์น1:3)

พระเจ้าผีซึ่งไร้ตัวตนมีแต่เสียงใช้เพียงคำพูดสร้างทุกสิ่งขึ้น พระอัครฑูตยอห์นเป็นพยานในทฤษฎี”พระเจ้าผีแขนกุดใช้คำพูดสร้างสรรพสิ่ง” ตามหลักฐานที่ยกมาท่านใดจะแย้งเชิญเสนอหลักฐานที่มีที่มาที่ไปหรือดีเบตกับผมได้ที่
http://buddhist.createdebate.com

คำถามคือ
1.พระเจ้าผีไม่รู้วิธีการใช้มือและแขนในการก่อสร้าง ใช่หรือไม่
2.พระเจ้าผีมีกรรมกรส่วนตัวคอยทำตามคำสั่ง ใช่หรือไม่


วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎี"พระเยซูหลงรักนางมารีย์ชาวแมกดาลีน" หลักฐานชัด


ผมขอเสนอทฤษฎี”พระเยซูทรงรักนางมารีย์ชาวแมกดาลีน”เฉกเช่นบุรุษธรรมดาผู้หนึ่งที่พึงมีความรักต่อหญิงสาว โดยเยซูบังคับให้นางมารีย์ชาวแมกดาลีน นับถือพระนางมารีและเรียกว่า”มารดา”

บางส่วนในไบเบี้ย
26 When Jesus therefore saw his mother, and the disciple standing by, whom he loved, he saith unto his mother, Woman, behold thy son! (John 19:26).
26เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารดาของพระองค์ และสาวกคนที่พระองค์ทรงรัก(นางมารีย์ชาวแมกดาลีน)ยืนอยู่ใกล้พระองค์ จึงตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า "หญิงเอ๋ย นี่คือบุตรของท่าน (แม่ นี่คือเยซูลูกของแม่)" (ยอห์น 19:26)

27 Then saith he to the disciple, Behold thy mother! And from that hour that disciple took her unto his own home. (John 19:27).
27แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกคนนั้น (นางมารีย์ชาวแมกดาลีน)ว่า "นี่คือมารดาของท่าน" แล้วสาวกคนนั้นก็รับมารดาของพระองค์มาอยู่ในบ้านของตนตั้งแต่เวลานั้น. (ยอห์น 19:27)

หลังจากเยซูฟื้นคืนชีพและพบคนรักและมารดาของตน เยซูได้แนะนำให้หญิงที่ตนรักรู้จักกับมารดาของตน ทั้งได้ฝากมารดาของตนให้อยู่กับคนรัก ช่างโรแมนติคเสียนี้กระไร และยังสอดคล้องกับทฤษฎี”พระเยซูหลงรักนางมารีย์ชาวแมกดาลีน” ตามหลักฐานที่ยกมาท่านใดจะแย้งเชิญเสนอหลักฐานที่มีที่มาที่ไปหรือดีเบตกับผมได้ที่
http://buddhist.createdebate.com

คำถามคือ
1.ทำไมเยซูไม่ประกาศให้คนทั้งโลกรู้ว่านางมารีย์แมกดาลีนคือหญิงที่ตนรัก.
2.เพราะถูกยิวตามล่าเยซูจึงปิดบังฐานะของนางมารีย์แมกดาลีนหญิงที่ตนรัก ใช่หรือไม่. 

วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎี"อิสลามนับถือโตหร่าห์" หลักฐานชัด


ผมขอเสนอทฤษฎี”อิสลามนับถือโตหร่าห์” ทั้งๆที่เป็นคัมภีร์ของยิวที่เป็นศัตรูตัวฉกาจและตลอดกาลของอาหรับแต่อัลลอฮฺได้บังคับไว้ ตามหลักฐานดังนี้

บางส่วนในกุรอาน
44. Verily, We did send down the Taurat (Torah) [to Musa (Moses)], therein was guidance and light, by which the Prophets, who submitted themselves to Allah’s Will, Judged for the Jews. And the rabbis and the priests [too judged for the Jews by the Taurat (Torah) after those Prophets], for to them was entrusted the protection of Allah’s Book, and they were witnesses thereto. Therefore fear not men but fear Me (O Jews) and sell not My Verses for a miserable price. And whosoever does not judge by what Allah has revealed, such are the Kafirun (i.e. disbelievers- of a lesser degree as they do not act on Allah’s Laws). (Surah5. Al-Ma’idah, Part6)
44.แท้จริงเราได้ให้อัต-เตารอต (โตหร่าห์)ลงมา โดยที่ในนั้นมีข้อแนะนำและแสงสว่าง ซึ่งบรรดานะบีที่สวามิภักดิ์ได้ใช้อัต-เตารอตตัดสินบรรดาผู้ที่เป็นยิว และบรรดาผู้ที่รู้แล้วในอัลลอฮฺ และนักปราชญ์ทั้งหลายก็ได้ใช้อัต-เตารอต ตัดสินด้วย เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้รักษาไว้ (นั่นคือ) คัมภีร์ของอัลลอฮฺและพวกเขาก็เป็นพยานยืนยันในคัมภีร์นั้นด้วย ดังนั้นพวกเจ้า จงอย่ากลัวมนุษย์ แต่จงกลัวข้าเถิด และจงอย่าแลกเปลี่ยนบรรดาโองการของข้ากับราคาอันเล็กน้อย และผู้ใดที่มิได้ตัดสินด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาแล้วชนเหล่านี้แหละคือผู้ปฏิเสธการศรัทธา. (ซูเราะฮ์ที่5, อัล-มาอิดะฮฺ, ญุซอฺที่6).

หลักฐานจากกุรอ่าน ข้างต้นนั้นน่าจะเพียงพอถึงการยืนยันว่า เตารอต (โตหร่าห์)เป็นคัมภีร์ที่มุสลิมต้องศึกษาด้วย

ทฤษฎี”อิสลามนับถือโตหร่าห์ยังคงอยู่ตามหลักฐานที่ยกมาท่านใดจะแย้งเชิญเสนอหลักฐานที่มีที่มาที่ไปหรือดีเบตกับผมได้ที่

http://buddhist.createdebate.com

คำถามคือ
1.ระหว่างคัมภีร์โตหร่าห์กับกุรอาน คัมภีร์ใดถือเป็นกฎหมายสูงสุด.

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎี"อิสลามสร้างสันติภาพในหมู่สาวกอับราฮัม" หลักฐานชัด


ผมขอเสนอทฤษฎี”อิสลามสร้างสันติภาพในหมู่สาวกอับราฮัม”ทั้งๆที่ลัทธิอับราฮัมได้สร้างความสับสนให้แก่ชาวโลกมานานด้วยการแบ่งแยกมวลชนออกเป็น ยิว, คริสต์, และอิสลามแต่สุดท้ายแล้ว อิสลามกับพยายามรวบรวมสันติภาพคืนแก่ ยิว, คริสต์ ดังหลักฐานนี้

บางส่วนในกุรอาน
84. Say (Muhammad): ”We believe in Allah and in what has been sent down to us, and what was sent down to Ibrahim (Abraham), Isma’il (Ishmael), Ishaq (Isaac), Ya’qub (Jacob) and Al-Asbat [the offspring of the twelve sons of Ya’qub (Jacob)] and what was given to Musa (Moses), ‘Isa (Jesus) and the Prophets from their Lord. We make no distinction between one another among them and to Him (Allah) we have submitted (in Islam).” (Surah3. Al-‘Imran, Part3).
84. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า เราได้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺแล้ว และได้ศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานแก่เรา และสิ่งที่ถูกประทานแก่อิบรอฮิม (อับราฮัม) และอีสมาอีล (อิชมาเอล) และอิสฮาก (ไอแซก) และยะอฺกูบ (ยาคอบ) และบรรดาผู้สืบเชื้อสาย (จากยะอฺกูบ) และศรัทธาต่อสิ่งที่มูซา (โมเสส) และอีซา (เยซู) และนะบีทั้งหลายได้รับจากพระเจ้าของพวกเขา โดยที่เราจะไม่แยกระหว่างคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขา และพวกเรานั้นเป็นผู้ที่นอบน้อมต่อพระองค์. (ซูเราะฮฺที่3, อาละอิมรอน, ญุซอฺที่3).

ทั้งๆที่กุรอานบอกอย่างชัดเจนว่าให้นอบน้อมต่อโมเสสและเยซูซึ่งเป็นผู้นำของชาวยิวและคริสต์ตามลำดับนั้นย่อมแสดงว่า แท้จริงแล้วอิสลามเคารพในความเป็นยิวทั้งบรรพบุรุษและลูกหลาน แต่ความขัดแย้งที่เกิดในสงครามครูเสด ล้วนมาจากสันตะปาปาที่สูญเสียรายได้จากการแสวงบุญที่แสนงามจึงทำการต่อต้านสาวกของมูฮัมมัด และชักชวนผู้โง่เขลาให้เข้าสู่สงครามครูเสด.

ทฤษฎี”อิสลามสร้างสันติภาพในหมู่สาวกอับราฮัม”ยังคงอยู่ตามหลักฐานที่ยกมาท่านใดจะแย้งเชิญเสนอหลักฐานที่มีที่มาที่ไปหรือดีเบตกับผมได้ที่

http://buddhist.createdebate.com

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎี"เยซูประกาศปฏิวัติยึดอำนาจพระเจ้าผี" หลักฐานชัด


ผมขอเสนอทฤษฎี”เยซูประกาศปฏิวัติยึดอำนาจพระเจ้าผี”ด้วยเป็นเจ้าลัทธิผู้กระหายซึ่งอำนาจที่มองไม่เห็นนั้นได้ปรากฎตัวออกมาในคราบของนักหลอกลวงผู้ประกาศการไถ่บาปที่เลื่อนลอย แต่สุดท้ายก็เปิดเผยตัวตนชัดเจนว่ายังมีจิตใจที่ไม่บริสุทธิ์ยังเจืออยู่ด้วย ความโลภ, ความโกรธและความหลง หลักฐานชัดแจ้งดังนี้

บางส่วนในไบเบี้ย
18 And Jesus came and spake unto them, saying, All power is given unto me in heaven and in earth. (Matthew 28:18).
18 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับพวกเขาว่า สิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว. (มัทธิว 28:18)

19 Go ye therefore, and teach all nations, baptizing them in the name of the Father, and of the Son, and of the Holy Ghost. (Matthew 28:19)
19 เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์. (มัทธิว 28:19)

20 Teaching them to observe all things whatsoever I have commanded you: and, lo, I am with you alway, even unto the end of the world. Amen. (Matthew 28:20).
20 และสอนพวกเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราสั่งพวกท่านไว้ และนี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” (มัทธิว 28:20)

23 Which is his body, the fulness of him that filleth all in all. (Ephesians 1:23)
23 Now the church is his body, the fullness of him who fills all in all. (Ephesians 1:23)
23 คริสตจักรเป็นพระกายของพระคริสต์ ซึ่งเป็นความบริบูรณ์ของพระองค์ ผู้ทรงเติมทุกอย่างในทุกแห่งให้เต็มบริบูรณ์. (เอเฟซัส 1:23)

เจ้าลัทธิได้สั่งการและคำสั่งได้ขยายตัวออกไปแล้ว อย่างรวดเร็วใครเล่าจะหยุดยั้งลัทธินี้ได้ หลักฐานล้วนสนับสนุนทฤษฎี”เยซูประกาศปฏิวัติยึดอำนาจพระเจ้าผี” ท่านใดจะแย้งผมเชิญครับหาหลักฐานที่ชัดแจ้งและตรงประเด็นจากกุรอ่านหรือไบเบี้ยหรือจะดีเบตกันได้ที่ http://buddhist.createdebate.com.

คำถามคือ
1.เยซูทำไปเพื่อตนเองและสาวก ใช่หรือไม่
2.เยซูโฆษณาชวนเชื่อว่าสามารถไถ่บาปให้แก่ผู้อื่น เพื่อหลอกล่อในคนมานับถือ ใช่หรือไม่